วันพุธที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ประวัติลิเวอร์พูล



ประวัติลิเวอร์พูล




    จอห์น โฮลดิง นักธุรกิจชาวเมืองลิเวอร์พูลได้เช่าพื้นที่บริเวณ แอนฟีลด์ โรด เพื่อใช้สร้างสนามฟุตบอล และเมื่อสร้างเสร็จได้ให้เอฟเวอร์ตัน เช่าเป็นสนามแข่ง และเมื่อทีมเอฟเวอร์ตันได้เข้าสู่สมาชิกฟุตบอลลีก จอห์น โฮลดิง พยายามจะเข้าไปบริหารงานในทีมเอฟเวอร์ตันและได้เพิ่มค่าเช่าสนามที่ทีมได้เช่าอยู่ ฝ่ายกลุ่มบริหารของเอฟเวอร์ตันจึงยกเลิกสัญญาเช่าสนาม และทีมเอฟเวอร์ตันได้ย้ายสนามไปอีกฝากของสวนสาธารณะสแตนลีย์พาร์ก เพื่อไปสร้างสนามเป็นของตัวเองโดยใช้ชื่อสนามว่า กูดิสันพาร์ค ดังนั้น จอห์น โฮลดิง จึงต้องการสร้างทีมฟุตบอลขึ้นมา และ จอห์น โฮลดิง จึงไปชวนเพื่อนสนิทของเขาชื่อ จอห์น แมคเคนน่า มาทำหน้าที่ประธานสโมสรและได้ตั้งชื่อทีมฟุตบอลนี้ว่า Liverpool Football Club

หลังจากที่สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งได้ไม่นาน ได้จัดการแข่งขัดนัดอุ่นเครื่อง ซึ่งเป็นการลงสนามนัดแรกของทีมลิเวอร์พูลกับทีมร็อตเตอร์แฮม ซึ่งผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมลิเวอร์พูลชนะไปด้วยผลการแข่งขัน 7-1 และลิเวอร์พูล ได้ลงแข่งขันฟุตบอลลีกของแคว้น แลงคาเชียร์ ปรากฏว่าลิเวอร์พูลลงแข่งทั้งหมด 22 นัด ชนะ 17 นัด และได้แชมป์ไปครอง ส่งผลให้ทางสโมสรสามารถสมัครเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกซึ่งได้รับการยอมรับและถูกคัดเลือกให้ลงเล่นในดีวิชั่น 2 ในฤดูกาล 1893-1894 สโมสรจึงได้เลือกสัญลักษณ์ของทีมเป็น นกลิเวอร์เบิร์ด (Liverbird) ซึ่งเป็นนกแถบทะเลไอริช บริเวณแม่น้ำเมอร์ซีย์ โดยที่ปากนกคาบใบไม้ไว้ ทีมลิเวอร์พูลได้ลงทำการแข่งขันอย่างเป็นทางในฟุตบอลลีก ดิวิชั่น 2 ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1893 โดยทีมลิเวอร์พูลออกไปเยือนทีมมิดเดิลสโบรห์ และทีมลิเวอร์พูลสามารถได้แชมป์มาครองโดยที่ไม่แพ้ทีมใดเลยตลอดทั้งฤดูกาล (ทั้งหมด 28 นัด) แต่การคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่น 2 ในตอนนั้นยังไม่ได้เลื่อนชั้นโดยทันที ต้องไปแข่งนัดชิงดำกับทีมอันดับสองก่อน โดยทีมอันดับสองในขณะนั้นคือ ทีมนิวตัน ฮีธ (ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน) และลงแข่งขันที่สนามของทีมแบล็คเบิร์น ซึ่งทีมลิเวอร์พูลเอาชนะทีมนิวตัน ฮีธไปด้วยผล 2-0 และได้เลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 ในที่สุด

สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2435 และก้าวขึ้นมาเป็นสโมสรแนวหน้าของอังกฤษอย่างรวดเร็วจนประสบความสำเร็จเป็นแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศครั้งแรกในปี พ.ศ. 2444 (ฤดูกาล 1900/01) และครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2449 (ฤดูกาล 1905/06) ครั้งที่ 3 และ 4 เป็นแชมป์สองฤดูกาลติดใน พ.ศ. 2465 กับ พ.ศ. 2466 (ฤดูกาล 1921/22 กับ 1922/23) แชมป์ลีกสูงสุดครั้งที่ 5 คือปี พ.ศ. 2490 (ฤดูกาล 1946/47) อย่างไรก็ตามลิเวอร์พูลพบกับช่วงตกต่ำต้องไปเล่นในในดิวิชัน 2 ใน พ.ศ. 2497 (ฤดูกาล 1953/54) ภายหลังจึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสโมสรในปี พ.ศ. 2502 สโมสรได้แต่งตั้ง บิลล์ แชงก์คลี เป็นผู้จัดการทีม เขาได้เปลี่ยนแปลงทีมไปอย่างมาก จนประสบความสำเร็จได้เลื่อนชั้นในปี พ.ศ. 2505 (ฤดูกาล 1961/62) และได้แชมป์ลีกสูงสุดของประเทศอีกครั้งใน พ.ศ. 2507 (ฤดูกาล 1963/64) หลังจากรอคอยมานานถึง 17 ปี บิล แชงก์ลี คว้าแชมป์เอฟเอคัพเป็นถ้วยแรกของสโมสรลิเวอร์พูลในปี พ.ศ. 2508 (ฤดูกาล 1964/65) และคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 อีกครั้งในฤดูกาลต่อมา พ.ศ. 2509 (ฤดูกาล 1965/66) ความสำเร็จของแชงก์ลียังเดินหน้าต่อไป เมื่อลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพ พร้อมแชมป์ดิวิชั่น 1 ใน พ.ศ. 2516 (ฤดูกาล 1972/73) และเอฟเอคัพ อีกครั้งใน พ.ศ. 2517 (ฤดูกาล 1973/74) หลังจากนั้น บิลล์ แชงก์คลี ขอวางมือจากสโมสร โดยให้ผู้ช่วยของเขาสืบทอดตำแหน่ง ผู้จัดการทีมแทน นั่นคือ บ็อบ เพสส์ลี

สโมสรต้องประสบกับความซบเซาในช่วงหนึ่งหลังจากได้แชมป์ลีกสูงสุดในปี พ.ศ. 2533 คือได้เพียงเอฟเอคัพ 1 ใบ ปี พ.ศ. 2535 กับลีกคัพ 1 ใบในปี พ.ศ. 2538 แต่ก็ฟื้นฟูขึ้นมาได้เมื่อพวกเขาสามารถคว้าแชมป์บอลถ้วยทั้งในระดับประเทศและระดับทวีปถึง 3 แชมป์ (คาร์ลิ่ง ลีกคัพ, เอฟเอคัพ รวมทั้งยูฟ่าคัพ) ได้ในปี พ.ศ. 2544 (ฤดูกาล 2000/01) ในปี 2544 นี้ลิเวอร์พูลยังคว้าถ้วยยูฟ่าซูเปอร์คัพ ที่เอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ในปีนั้น รวมทั้งเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด คู่ปรับตัวฉกาจในถ้วยชาริตีชีลด์ ก่อนเปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีกเป็นปีที่หอมหวานปีหนึ่งของกองเชียร์ลิเวอร์พูล นักเตะสำคัญยุคนั้นได้แก่ ไมเคิล โอเวน, เอมิล เฮสกี, สตีเวน เจอร์ราร์ด, ซามี ฮูเปีย และ ยอร์น อาร์เน รีเซ เป็นต้น ทีมชุดนี้ผู้จัดการทีมคือ เฌราร์ อูลีเย ชาวฝรั่งเศส ผลงานเป็นชิ้นเป็นอันส่งท้ายของอูลีเยคือ การนำทีมลิเวอร์พูลชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-0 ในนัดชิงฟุตบอลลีกคัพ พ.ศ. 2546 (ฤดูกาล 2002/03)


และแชมป์ที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งของลิเวอร์พูลคือปี 2548 ชนะในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เป็นครั้งที่ 5 ของสโมสร ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ตื่นตาตื่นใจครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์บอลยุโรป เมื่อลิเวอร์พูลไล่ตีเสมอทีม เอซี มิลาน เป็น 3-3 ทั้งที่โดนยิงนำไปก่อนถึง 3-0 และในที่สุดคว้าแชมป์มาได้จากการยิงจุดโทษชนะ 3-2 เป็นทีมจากอังกฤษที่ครองถ้วยยูโรเปียนคัพ (ปัจจุบันคือ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก) มากครั้งที่สุดถึง 5 สมัย ผู้เล่นที่สำคัญในยุคนั้น อาทิ สตีเวน เจอร์ราร์ด, ชาบี อาลอนโซ, ดีทมา ฮามันน์, วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์, เจอร์ซี ดูเด็ค และ เจมี คาร์ราเกอร์ คุมทัพโดย ผู้จัดการทีมสัญชาติสเปน ราฟาเอล เบนิเตซ ในฤดูกาลต่อมา พ.ศ. 2549 (ฤดูกาล 2005/06) ลิเวอร์พูลของเบนิเตซทำให้แฟนบอลต้องลุ้นอีกครั้ง ในนัดชิงเอฟเอคัพ เมื่อต้องอาศัยลูกยิงมหัศจรรย์ของ สตีเวน เจอร์ราร์ด ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บตีเสมอทีม เวสต์แฮม ยูไนเต็ด คู่ชิงแชมป์ในปีนั้นทำให้เสมอกันที่ 3-3 ต้องตัดสินแชมป์ด้วยการยิงจุดโทษอีกครั้ง และลิเวอร์พูลก็สามารถชนะไปได้ 3-1 เป็นแชมป์สำคัญรายการล่าสุดที่ลิเวอร์พูลทำได้ แต่รายการที่แฟนบอลต้องการมากที่สุดคือแชมป์ลีกของประเทศ หรือพรีเมียร์ลีกในปัจจุบัน ซึ่งปีล่าสุดที่ลิเวอร์พูลคว้ามาได้คือ พ.ศ. 2533 (ฤดูกาล 1989/90) จากการคุมทีมของ เคนนี ดัลกลิช ซึ่งต่อมาภายหลังดัลกลิชสามารถนำ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ได้ในปี พ.ศ. 2538 (ฤดูกาล 1994/95)

ในฤดูกาล 2009-10 ลิเวอร์พูลจบที่อันดับที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งทำให้ไม่ได้ไปแข่งขันในรายการ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้ ราฟาเอล เบนิเตซ ต้องลาออกจากตำแหน่งด้วยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย และแทนที่โดย รอย ฮอดจ์สัน อดีตผู้จัดการทีม สโมสรฟูแลม ในช่วงเริ่มต้นฤดูกาล 2010–11 สโมสรลิเวอร์พูลนั้นเสี่ยงต่อการล้มละลาย เนื่องจากแบกรับหนี้สินเป็นจำนวนมากจากการทำงานของ จอร์จ ยิลเลตต์ และ ทอม ฮิกส์ ทำให้ต้องขายสโมสร ต่อมา จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี เจ้าของทีม บอสตัน เรด ซ็อกซ์และนิว อิงแลนด์ สปอร์ตส์ เวนเจอร์ส ได้ซื้อสโมสรลิเวอร์พูล เมื่อตุลาคม 2010 ผลการแข่งขันที่ย่ำแย่ในช่วงต้นฤดูกาล ทำให้ฮอดจ์สันลาออกจากตำแหน่ง โดยมี เคนนี ดัลกลิช กลับมาคุมทีมอีกครั้ง โดยในฤดูกาล 2011-12 สามารถคว้าแชมป์ในรายการ คาร์ลิงคัพ ได้สำเร็จเป็นสมัยที่แปดจากการยิงจุดโทษตัดสินชนะ คาร์ดิฟฟ์ซีตี ผลประตูรวม 3-2 ในฤดูกาล 2011-12 ลิเวอร์พูลจบที่อันดับที่ 8 ซึ่งเป็นการจบอันดับที่แย่ที่สุดในรอบ 18 ปี ทางสโมสรก็ได้ปลดดัลกลิชออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ทางสโมสรได้ประกาศแต่งตั้ง เบรนดัน ร็อดเจอส์ อดีตผู้จัดการทีมสวอนซีซิตี เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่

ในฤดูกาล 2013-14 ลิเวอร์พูลมีโอกาสสูงที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยในช่วงท้ายฤดูกาลสามารถทำสถิติชนะรวดติดต่อกันมากถึง 11 นัด และลุยส์ ซัวเรซ กองหน้าของทีมก็เป็นผู้เล่นที่ยิงประตูได้สูงสุงของลีก ทำให้เป็นทีมมีคะแนนเป็นอันดับหนึ่งของตารางคะแนน แต่ทว่าในช่วงสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนสิ้นสุดฤดูกาล ลิเวอร์พูลไปแพ้ต่อ เชลซี และเสมอต่อ คริสตัลพาเลซ ทำให้แมนเชสเตอร์ซิตี ซึ่งเป็นทีมที่มีคะแนนเป็นอันดับสอง แต่แข่งน้อยกว่าหนึ่งนัด สามารถแซงหน้าและได้แชมป์ไปในที่สุด ด้วยคะแนน 86 คะแนน ขณะที่ลิเวอร์พูลทำได้ 84 คะแนน จบฤดูกาลลงด้วยอันดับที่สอง และได้กลับไปแข่งขันในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอีกครั้ง โดยยิงประตูไป 101 ลูก นับเป็นการยิงประตูมากที่สุด นับตั้งแต่ฤดูกาล 1895–96 ที่ยิงประตูไป 106 ลูก หลังผลงานน่าผิดหวังในฤดูกาล 2014-15 ทำให้ลิเวอร์พูลจบอันดับที่ 6 ในลีกพร้อมกับเริ่มต้นฤดูกาล 2015-16 ที่ย่ำแย่ ทำให้ เบรนดัน ร็อดเจอส์ ถูกไล่ออกเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2015 โดยมี เจอร์เก้น คล็อปป์ มาแทน โดยเป็นผู้จัดการทีมคนที่สามที่เป็นชาวต่างชาติในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล


จัดทำเพื่อการศึกษา

รายชื่อนักเตะลิเวอร์พูลในนัดชิงแชมป์ยูฟ่ากับเอซี มิลาน




รายชื่อนักเตะลิเวอร์พูลในนัดชิงแชมป์ยูฟ่ากับเอซี มิลาน

หมายเลข 1 เจอร์ซีย์ ดูเด็ค

ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2001 – 2007 รวม 186 นัด ทำได้ 0 ประตู

 

 รางวัลกับลิเวอร์พูล
•        แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 2005 + รองแชมป์ปี 2007
•        แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2005
•        แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2005-06
•        แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2002-03 + รองแชมป์ ฤดูกาล 2004 – 05
•        แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2006 + รองแชมป์ปี 2002
•        รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005

หมายเลข 3 สตีฟ ฟินแนน


ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2003 – 2008 รวม 145 นัด ทำได้ 1 ประตู
รางวัลกับลิเวอร์พูล
•        แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 2005 + รองแชมป์ปี 2007
•        แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2005
•        แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2005-06
•        รองแชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2004 – 05
•        แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2006
•        รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005

หมายเลข 23 เจมี่ คาร์ราเกอร์
ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 1996 ถึงปัจจุบัน รวม 690 นัด ทำประตูทีมอื่นได้ 5 ประตู ทำประตูทีมตัวเองได้ 6 ประตูในลีก + 1 ประตูในเอฟเอคัพ

 
รางวัลกับลิเวอร์พูล
•        แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 2005 + รองแชมป์ปี 2007
•        แชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2001
•        แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2001, 2005
•        แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2005-06
•        แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2002-03, 2011-12 + รองแชมป์ ฤดูกาล 2004 – 05
•        แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2001, 2006 + รองแชมป์ปี 2002
•        รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005

หมายเลข 4 ซามี่ ฮูเปีย
ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 1999 - 2009 รวม 464 นัด ทำได้ 35 ประตู

 
รางวัลกับลิเวอร์พูล
•        แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 2005 + รองแชมป์ปี 2007
•        แชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2001
•        แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2001, 2005
•        แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2005-06
•        แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2002-03+ รองแชมป์ ฤดูกาล 2004 – 05
•        แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2001, 2006 + รองแชมป์ปี 2002
•        รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005

หมายเลข 21 ฌิมี่ ตราโอเร่

ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 1999 - 2006 รวม 141 นัด ทำได้ 1 ประตู + ซีดานเทิร์นอีก 1 ประตู (ตัวเอง)
 

รางวัลกับลิเวอร์พูล
•        แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 2005
•        แชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2001
•        แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2001, 2005
•        แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2005-06
•        แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2002-03+ รองแชมป์ ฤดูกาล 2004 – 05
•        แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2001, 2006 + รองแชมป์ปี 2002
•        รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005

หมายเลข 14 ชาบี อลอนโซ
ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2004 - 2009 รวม 210 นัด ทำได้ 19 ประตู


 
รางวัลกับลิเวอร์พูล
•        แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 2005 + รองแชมป์ปี 2007
•        แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2005
•        แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2005-06
•        รองแชมป์ ลีกคัพ ฤดูกาล 2004 – 05
•        แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี  2006
•        รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005

หมายเลข 10 หลุยส์ การ์เซีย
ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2004 - 2007 รวม 121 นัด ทำได้ 30 ประตู

 
รางวัลกับลิเวอร์พูล
•        แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 2005 + รองแชมป์ปี 2007
•        แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2005
•        แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2005-06
•        รองแชมป์ ลีกคัพ ฤดูกาล 2004 – 05
•        แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี  2006
•        รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005

หมายเลข 8 สตีเวน เจอร์ราร์ด
ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 1998 ถึงปัจจุบัน รวม 576 นัด ทำประตูทีมได้ 149 ประตู



 รางวัลกับลิเวอร์พูล
•        แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 2005 + รองแชมป์ปี 2007
•        แชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2001
•        แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2001, 2005
•        แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2005-06
•        แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2002-03, 2011-12 + รองแชมป์ ฤดูกาล 2004 – 05
•        แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2001, 2006 + รองแชมป์ปี 2002
•        รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005

หมายเลข 6 ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่
ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2001 - 2008 รวม 348 นัด ทำประตูทีมได้ 31 ประตู


 
รางวัลกับลิเวอร์พูล
•        แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 2005 + รองแชมป์ปี 2007
•        แชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2001
•        แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2001, 2005
•        แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2005-06
•        แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2002-03 + รองแชมป์ ฤดูกาล 2004 – 05
•        แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2001, 2006 + รองแชมป์ปี 2002
•        รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005

หมายเลข 7 แฮร์รี่ คีเวลล์
ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2003 - 2008 รวม 139 นัด ทำประตูทีมได้ 16 ประตู

 

รางวัลกับลิเวอร์พูล
•        แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 2005 + รองแชมป์ปี 2007
•        แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี  2005
•        แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2005-06
•        แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2002-03 + รองแชมป์ ฤดูกาล 2004 – 05
•        แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2006
•        รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005

หมายเลข 5 มิลาน บารอส
ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2002 - 2005 รวม 108 นัด ทำประตูทีมได้ 27 ประตู

 
รางวัลกับลิเวอร์พูล
•        แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 2005
•        แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี  2005
•        แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2002-03 + รองแชมป์ ฤดูกาล 2004 – 05

หมายเลข 20 สก็อต คาร์สัน
ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2005 - 2008 ลงตัวจริง 9 นัด

 
รางวัลกับลิเวอร์พูล
•        แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 2005
•        แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี  2005

หมายเลข 17 โฆเซมี
ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2004 - 2006 รวม 35 นัด ทำประตูทีมได้ 0 ประตู

 
รางวัลกับลิเวอร์พูล
•        แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 2005
•        แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี  2005
•        แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2005-06
•        รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005

หมายเลข 16 ดีทมาร์ ฮามันน์
ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 1999 - 2006 รวม 283 นัด ทำประตูทีมได้ 11 ประตู

 
รางวัลกับลิเวอร์พูล
•        แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 2005
•        แชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2001
•        แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2001, 2005
•        แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2005 - 06
•        แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2002-03 + รองแชมป์ ฤดูกาล 2004 – 05
•        แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2001 + รองแชมป์ปี 2002
•        รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005

หมายเลข 18 อันโตนิโอ นูเนซ
ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2004 - 2005 รวม 27 นัด ทำประตูทีมได้ 1 ประตู

 
รางวัลกับลิเวอร์พูล
•        แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 2005
•        รองแชมป์ ลีกคัพ ฤดูกาล 2004 – 05

หมายเลข 25 อิกอร์ บิสคาน
ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2000 - 05 รวม 118 นัด ทำประตูทีมได้ 3 ประตู

 
รางวัลกับลิเวอร์พูล
•        แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 2005
•        แชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2001
•        แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2001
•        แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2005-06
•        แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2002-03 + รองแชมป์ ฤดูกาล 2004 – 05
•        แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2001 + รองแชมป์ปี 2002

หมายเลข 9 ฌิบริลซิสเซ่
ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2004 - 2006 รวม 79 นัด ทำประตูทีมได้ 24 ประตู

 
รางวัลกับลิเวอร์พูล
•        แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 2005
•        แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี, 2005
•        แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2005 – 06 
•        รองแชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2004 – 05
•        รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005

หมายเลข 11 วลาดิเมียร์ ชมิเซอร์
ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 1999 - 2005 รวม 184นัด ทำประตูทีมได้ 19 ประตู

 
รางวัลกับลิเวอร์พูล
•        แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 2005
•        แชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2001
•        แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2001, 2005
•        แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2000 – 01
•        แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2002-03 + รองแชมป์ ฤดูกาล 2004 – 05
•        แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2001 + รองแชมป์ปี 2002
•        รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005

 ที่มา: http://topicstock.pantip.com/supachalasai/topicstock/2012/03/S11852129/S11852129.html
จัดทำเพื่อการศึกษา

ปาฏิหารณ์อิสตันบูล 2005


รายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ เดือนพฤษภาคม 2005






ในศึกชิงแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีกรอบชิงชนะเลิศ ปี2005 เป็นหนึ่งในค่ำคืนที่น่าเหลือเชื่อที่สุดของ ลิเวอร์พูล ที่สามารถพลิกเกมกลับมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ หลังจากที่โดนปีศาจแดงดำ เอซีมิลาน ออกนำไปก่อนในครึ่งแรก 0-3 ลิเวอร์พูลโดนนำไปก่อนภายในเวลาแค่ 54 วินาทีและดูเหมือนเกมจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของลิเวอร์พูล ในสกอร์3-0 สำหรับครึ่งเวลาแรก คงไม่มีใครคาดคิดว่าลิเวอร์พูลจะกลับมาชนะได้ ค่ำคืนนั้นในสนามอตาเติร์ก สเตเดี้ยม ในเมือง อิสตันบูลเสียง The Kop ตะโกนร้องเพลง You’ll never walk alone ดังกึกก้องทั่วสนาม เพื่อบอกนักเตะว่าเรายังไม่ยอมแพ้และจะอยู่เคียงข้างคุณ

เริ่มเกมครึ่งหลังราฟาเอล เบนิเตสเปลี่ยนตัว ดีดี้ ฮามันท์ลงไปแทนสตีฟ ฟินแน่นที่มีอาการบาดเจ็บและมันก็ได้ผล ประตูปลดล็อคจากลูกโหม่งของ สตีเว่น เจอร์ราร์ดนาทีที่ 54 ยอห์น อาร์เน่ ริเซ่เปิดบอลโค้งเข้าไปในกรอบเขตโทษ เจอร์ราร์ดขึ้นโหม่งเต็มศีรษะเป็นประตูให้ลิเวอร์พูลตามมาเป็น 1-3 เสียง The kop โห่ร้องลั่นสนาม  2 นาทีถัดมา ซมิเซอร์ก็ยิงระยะ 25 หลาเข้าประตูไป ลิเวอร์พูลไล่มาเป็น 2-3 นาทีที่ 60 มิลาน บารอสต่อบอลให้เจอร์ราร์ดที่วิ่งทะลุขึ้นมาในกรอบเขตโทษ และเขาก็ถูกทำฟาวล์โดยกัตตูโซ่ และแล้วพวกเขาก็ได้จุดโทษ ซาบี อลอนโซ่ เป็นผู้รับหน้าที่สังหาร เขายิงไปทางมุมซ้ายและดีด้าเซฟได้ แต่เขาก็ยังไวพอที่จะวิ่งเข้าไปซ้ำ และมันเป็นประตู 3-3 วินาทีนั้น The Kopทุกคนแทบบ้าคลั่ง เสียงโห่ร้องยินดีดังลั่นทั่วสนาม ในขณะที่ในใจทุกคนอาจคิดว่านี่คือความฝันหรือเปล่า? แต่นี่คือความจริงทุกคนคงแทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น

เกมต้องดำเนินไปถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ ภายในการต่อเวลา30นาที ไม่มีใครสามารถยิงประตูได้ และนำไปสู่การยิงลูกโทษ เจอร์ซี่ ดูเด็คนายประตูของลิเวอร์พูลสวมบทฮีโร่งัดลูกเซพมหัศจรรย์มาปัดป้องลูกยิงจ่อๆของ อังเดร เชพเชนโก้ ในที่สุดเราก็ทำสำเร็จ รอสโซเนรี่จากเอซี มิลานยิงจุดโทษพลาด และรางวัลสำหรับความพยายามคือถ้วยบิ๊กเอียร์ เป็นของขวัญแก่ลิเวอร์พูลในที่สุด นี่เป็นหนึ่งในแมตช์โกงความตายของลิเวอร์พูลที่สามารถพลิกกลับมาชนะได้อย่างน่าเหลือเชื่อ หลังจากนั้นทุกคนก็เรียกมันว่าปาฏิหารณ์แห่ง"อิสตันบูล"





รายชื่อนักเตะของลิเวอร์พูลประกอบไปด้วย เจอร์ซี่ ดูเด็ค,สตีฟ ฟินแน่น,เจมี คาร์ราเกอร์,ซามี่ ฮูเปีย,ฌิมี่ ตราโอเร่,ชาบี อลอนโซ,หลุยส์ การ์เซีย,สตีเว่น เจอร์ราร์ด,ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่,แฮร์รี่ คีเวลล์,มิลาน บารอส,สก็อต คาร์สัน,โฆเซมี,ดีทมาร์ ฮามันน์,อันโตนิโอ นูเนซ,อิกอร์ บิสคาน,ฌิบริล ซิสเซ่,วลาดิเมียร์ ชมิเซอร์


ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=howkky&month=25-07-2007&group=1&gblog=3

http://topicstock.pantip.com/supachalasai/topicstock/2012/03/S11852129/S11852129.html